ลด50%จากปก+ค่าจัดส่งลงทะเบียน หมดแล้วหมดเลย

I AM MALALA


โดย Malala Yousafzai
        ร่วมกับ Christina Lamb
แปลโดย สหชน สากลทรรศน์

ฉบับพิมพ์ครั้งแรก 2557
สำนักพิมพ์ มติชน
จำนวนหน้า 327 หน้า
ISBN 978-974-02-1335-2
ราคาปก 270 บาท ลดเหลือ 135 บาท
น้ำหนัก 450 กรัม ค่าจัดส่งลงทะเบียน +40 บาท

มาลาลา ยูซัฟไซ คือเด็กหญิงชาวปากีสถาน ที่ถูกตาลิบันยิงศีรษะ

เพียงเพราะเธออยากไปโรงเรียน

สำหรับเธอแล้ว สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโลก และปลดแอกผู้คนจากกรงขังทางความคิดคือการศึกษา ซึ่งทำได้โดย "เด็กหนึ่งคน ครูหนึ่งคน หนังสือหนึ่งเล่ม และปากกาหนึ่งด้าม"

หนังสือเล่มนี้เป็นผลพวงของความเชื่อของเธอที่ว่า ปากกาสามารถสู้กับปลายกระบอกปืนได้ เธอเขียนเรื่องราวของเธอ และอธิบายความไม่เท่าเทียมของมนุษย์ในปากีสถานให้ผู้คนได้รับรู้ ความตระหนักรู้จากผู้คนทั่วโลกนี้เอง ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความพยายามที่จะช่วยเหลือ และยกระดับสังคมในปากีสถาน

ถึงแม้เรื่องราวใน I AM MALALA จะเกิดขึ้นในปากีสถาน ซึ่งอาจจะดูไกลตัว แต่ประเด็นความคิดในหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย


หนังสืออัตชีวประวัติหรือเรื่อง ราวของ มาลาล่า หรือ มาลาลา Malala Yousufzai ได้ถูกเล่าถึงตั้งแต่แรกกำเนิดของเธอที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวพัชตุน ในเมืองสวัต ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงอิสลามบัด ประเทศปากีสถาน เมืองที่ไกลเพียงแค่ระยะนกบิน แต่มีความทุรกันดาร แทบไม่มีความเจริญก้าวหน้าใดสามารถเดินทางไปถึงเมืองสวัตได้ นอกเสียจากความวุ่นวาย ความไม่สงบสุข ความไม่มั่นคงปลอดภัย ... 
จนเป็นเหตุให้เป็นหนึ่งในช่องทางของพวกตาลิบัน ซึ่งถือกำเนิดจากกลุ่มฟัซลุลเลาะห์ที่พยายามบิดเบือนบทบัญญัติทางศาสนาอิส ลามเพื่อให้กลุ่มตนได้รับประโยชน์จากเงินที่เกิดจากการหลงเชื่อในคำบิดเบือน คำสอนที่ส่งผ่านหอกระจายข่าวในหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านที่หลงเชื่อและพากันบริจาคเงินให้แก่พวกเขา 
ดังนั้น ถ้าหากพ่อของมาลาลาซึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียนที่เปิดสอนวิชาการความรู้และคำ สอนศาสนาอย่างถูกต้อง ให้ชาวเมืองสวัตได้ก้าวหน้าทัดเทียมกับชาวเมืองอื่นๆ ก็ย่อมถูกขัดขวาง มาลาลาเป็นลูกสาวของเจ้าของโรงเรียนจึงต้องรับบทเรียนอันโหดร้ายของกลุ่มตา ลิบัน ซึ่งทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกตนเชื่อว่าเป็นขบถต่อพระเจ้า (แม้กระทั่งรูปปั้นพระพุทธรูปหินทรายที่สวยงามและเป็นมรดกโลก พวกเขาก็ระเบิดทำลายทิ้ง) มาลาลาและเพื่อนๆ ผู้หญิงในวัยเด็กๆ จึงมีอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งคือ การถูกห้ามไปโรงเรียน ถ้าใครไปเรียนหนังสือก็จะถูกทำร้ายหรือตัดหัวประจาน 
โรงเรียนจำนวนมากมายหลายพันๆ โรงในปากีสถานก็ถูกกลุ่มตาลีบันใช้วิธีการระเบิดทำลาย เพื่อไม่ให้คนได้เรียนหนังสือนั่นเอง นัยว่าเพื่อที่กลุ่มตาลีบันจะได้ปกครองได้ง่าย จะได้ไม่มีคนมาทำตัวหัวแข็งเหมือนเช่นพ่อของมาลาลา และจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการสร้างรัฐเป็นของตนเอง

เรื่องราวเส้นทางชีวิตของมาลาลาเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ควรได้เข้าใจว่า ชีวิตชาวพัชตุนนั้นถูกกดดันและไร้การเหลียวแลจากนักการเมืองที่ปกครองประเทศตนอย่างไร เราได้เห็นการเกิดขึ้นของกระบวนการ “ตาลีบันภิวัตน์” (Talibanizaion) ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่มาลาล่าอาศัยอยู่ เกิดจากการปลุกปั่นของนักจัดรายการวิทยุชุมชนใช้ช่องทางสื่อสารนี้ “บิดเบือนคำสอนของศาสนาอิสลาม” ผู้คนหลงเชื่อโดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้าน และเมื่อผสมโรงกับเหตุการณ์บ้านเมืองของปากีสถานไม่เสงบสุขเรียบร้อย มีการช่วงชิงอำนาจกันในส่วนกลาง มีการแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจตะวันตกและการช่วงชิงความได้เปรียบของประเทศมหาอำนาจในพื้นที่ตะวันออกกลาง ลามมาถึงภูมิภาคเอเชียใต้(อินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน)

เราได้เห็นความซื่อสัตย์เป็นทาสรับใช้พระเจ้าของชาวมุสลิมที่จะเอาความดี นำเอาคำสอนในพระคัมภีร์อัลกุระอานมาต่อสู้กับความชั่วร้าย โดยเฉพาะเรื่องราวที่ฉายผ่านพ่อของมาลาล่า ที่เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนหนังสือ รวมทั้งลูกสาวคนเก่ง ... เธอไม่ได้เก่งเพียงเพราะพื้นฐานของครอบครัว แต่เธอถีบตัวเองมาจากการเป็นบ่าวที่ดีของพระเจ้านั้นเอง

จนกระทั่งทำให้ 'มาลาลา' เด็กหญิงชาวปากีสถานวัย 15 ปีที่รอดตายราวปาฏิหาริย์จากการถูกยิงศีรษะ กระสุนปืนทะลุเฉียดตาซ้ายของเธอไปเล็กน้อยและทำให้กระโหลกศีรษะได้รับความเสียหายบางส่วน และหลังจากแพทย์ปากีสถานผ่าตัดเอากระสุนออก เธอก็ได้รับการส่งตัวไปรักษาต่อในอังกฤษ  มาลาลาเพิ่งจะได้กลับเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนที่เมืองเบอร์มิงแฮมของอังกฤษ

มีบางคนระบุว่า สาเหตุที่เธอถูกตาลิบันดักยิงเป็นเพราะเธอเขียนบล็อกเพื่อรณรงค์เรื่องสิทธิการเรียนหนังสือของเด็กผู้หญิง แต่เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว จขบ.ขอสรุปว่า ไม่ใช่เพียงแค่บล็อกของมาลาล่าเท่านั้น

แต่เป็นเพราะ ............... (ความคิดของเธอไม่ใช่สิ่งที่พบได้ในคนปกติทั่วไป -- จขบ.)


(ในหนังสือเล่มนี้ มีข้อความน่าสนใจเกือบทุกๆ หน้า จนไม่สามารถนำมาฝากได้ทั้งหมด ต่อไปนี้เป็นบางข้อความนั้น)

“ในโลกนี้มีอำนาจอยู่ 2 แบบ หนึ่งคือดาบ และอีกหนึ่งคือปากกา  แต่มีอำนาจที่ 3 ที่แข็งแกร่งกว่าทั้งสองอำนาจนั่นคือ ผู้หญิง”

“ความไม่รู้ ทำให้นักการเมืองหลอกลวงประชาชน และผู้บริหารที่ไม่ดีกลับได้รับการเลือกตั้ง”

“การเมืองในแวดวงนักศึกษา ใช้แค่การโต้วาทีและความสามารถพิเศษ แต่การเมืองระดับพรรค(การเมืองระดับชาติ)ต้องใช้เงิน”

“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านิวยอร์กและอเมริกาคืออะไร เพราะโรงเรียนเป็นเพียงโลกที่ฉันรู้จัก เราไม่คิดว่าเหตุวินาศกรรม 9/11 จะเปลี่ยนแปลงโลกของเราไปด้วย และนำสงครามมาสู่หมู่บ้านอันเงียบสงบ”

“ถ้าเรามีเครื่องบินเอฟ -16 สักลำ หรือขีปนาวุธนิวเคลียร์ พ่อบอกว่าถ้านักการเมืองของเราไม่สูญงบประมาณไปกับการสร้างระเบิดปรมาณู เราคงมีโรงเรียนมากพอต่อความต้องการ”

“พวกนักการเมืองจะมาเยี่ยมเยือนเราเฉพาะช่วงเลือกตั้ง สัญญาว่าจะสร้างถนน ทำระบบไฟฟ้า ผลิตน้ำสะอาด สร้างโรงเรียน ให้เงินทุนและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เขากลับให้แก่คนที่มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่เราเรียกว่า ผู้มีประโยชน์ร่วม ซึ่งจะชี้แนะชุมชนถึงการลงคะแนนเลือกตั้ง และแน่นอนว่าเป็นเรื่องเฉพาะของผู้ชาย ผู้หญิงในท้องที่ของเราไม่มีสิทธิออกเสียง.....”

“ผู้หญิงจะร้องทุกข์ว่าตนถูกข่มขืนได้นั้น จะต้องมีประจักษ์พยานผู้ชายอย่างน้อย 4 คนขึ้นไป....”

“นักการศาสนาที่มัสยิดมักจะเทศน์บ่อยๆ ประณามว่า .... เป็นพวกนอกรีตและเรียกร้องให้ผู้คนเข้าสู่จีฮัด(สงครามอันศักดิ์สิทธิ์) โดยบอกว่ามันเป็นหน้าที่ของมุสลิมที่ดี ภายใต้การบัญชาการของนายพลเซีย สงครามจีฮัดกลายเป็นเสาหลักที่ 6 ของศาสนาเรา ..”  (นอกเหนือจากการปฏิบัติ 5 ข้อหลักของมุสลิม อันได้แก่ การเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว  การละหมาด การบริจาคซากัต การถือศีลอด และการไปฮัจญ์)

 “บุคคลทางศาสนาในปากีสถานบางคนบอกว่า โอซามา บิน ลาเดน เป็นวีรบุรุษ ..ครูสอนศาสนาบอกว่า 9/11 เป็นการชำระแค้นอเมริกาต่อสิ่งที่พวกเขากระทำต่อคนทั่วโลก แต่พวกเขา(พวกก่อการร้าย-จขบ.)กลับละเลยความจริงที่ว่า คนในอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอรนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนโยบายองอเมริกา พระคัมภีร์อัลกุระอานระบุชัดเจนว่า การฆ่าผู้อื่นเป็นสิ่งที่ผิด...”

อ่านดูแล้ว เด็กหญิงตัวเล็กๆ วัยยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ดูแล้วความคิดความอ่านของเธอยิ่งใหญ่เกินตัว และสามารถรับผิดชอบสังคมที่ยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคตได้  .....

ถ้ามาลาล่าเธอไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน !!!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น